จัดอันดับทุกตอนในซีซั่น 4 ของ ‘Black Mirror’
Black Mirror ซีซั่น 4 คือซีซั่นล่าสุดในซีรีย์สยองขวัญของ Charlie Booker ที่พึ่งจะจบไปบน Netflix ซึ่งซีซั่นที่ 4 นี้จะพาคุณไปสัมผัสความกลัวตั้งแต่จากหุ่นยนตร์สุนัข ความกลัวเทคโนโลยี และโลกเสมือนจริง
เราเคยทำการจัดลำดับทุกตอนของ Black Mirror ไปแล้ว แล้วซีซั่น 4 จะเป็นยังไงบ้างเมื่อเทียบกับตอนก่อนๆ เพื่อหาคำตอบ เราจึงได้ให้แฟน Black Mirror สองคนของเรานั่งดูทุกตอนเพื่อหาคำตอบให้กับเรา และนี่คือการจัดลำดับของ Black Mirror ทุกตอนในซีซั่น 4
ลำดับทุกตอนในซีซั่น 4 ของเรื่อง Black Mirror
6. Hang the DJ
Frank และ Amy ใช้ “The System” เพื่อหาคู่ที่เหมาะที่สุด แต่มันจะเป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้หรือไม่
Daniel: ตอนนี้เป็นเหมือนการอุปมาถึงการเดทยาวหนึ่งชั่วโมงที่ทุกคนนั้นยังหนุ่มและดูดี ไม่มีงานทำ และไม่มีเป้าหมายอื่นในชีวิตนอกจากการหาคู่เดทไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอ”คนที่ใช่” ซึ่งขั้นตอนการเดททั้งหมดจะถูกควบคุมโดยอุปกรณ์มือถือที่เรียกว่า “โค้ช” ที่จะคอยบอกว่าคุณจะต้องอยู่กับใคร เป็นระยะเวลานานเท่าใด แม้ว่าคุณจะไม่ได้สนใจในฝั่งตรงข้ามก็ตาม
แต่เพราะตอนนี้ไม่มีการบอกอะไรกับผู้ชมเลย เช่นทำไมทุกคนในโลกถึงได้กังวลกับการหาคู่นัก ทำไมจึงมีกำแพงอยู่รอบชุมชน ทำไมตัวละครทั้งหลายจึงไม่มีความทรงจำในชีวิตก่อนหน้า ทำให้เป็นการเปรียบเทียบที่เข้าใจยากเกินกว่าที่จะน่าสนใจ ทำให้ความพยายามใจการเข้าใจเนื้อเรื่องของผู้ชมนั้นหมดไป
ตอนนี้อาจจะสนุกสำหรับคนที่เคยประสบความไม่พอใจในการหาคู่ (ซึ่งก็คือเราแทบทุกคน) การหาคู่มันไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว และเราคงไม่จำเป็นต้องให้ Black Mirror มาคอยย้ำเราในเรื่องนี้หรอก
Matt: ผมไม่ชอบตอนนี้เอาซะเลย episode นี้ให้ความรู้สึกเหมือนนิทานแย่ๆอย่างเพลง “One Tin Soldier‘ ที่การอุปมานั้นเป็นแก่นของเนื้อหา และมันคงดีถ้ามันมีเหตุผลในโลกของความจริง
“One Tin Soldier” เป็นนิทานเกี่ยวกับชาวเขาที่มี”สมบัติ”อยู่ใต้ก้อนหินที่ชาวลุ่มเขาต้องการ กลุ่มคนที่อยู่บนเขาบอกว่าจะแบ่งปันสมบัตินั้นให้โดยจะไม่บอกว่ามันคืออะไร และคนที่อยู่ลุ่มเขาไม่พอใจ สุดท้ายคนที่อยู่ลุ่มเขาตัดสินใจฆ่าชาวเขาทั้งหมดเพื่อสมบัติชิ้นนั้น ซึ่งปรากฏว่าเป็นแค่เพียงคำว่า”ความสงบสุขในโลก”สลักไว้ใต้ก้อนหินเท่านั้น แม้ว่าสิ่งที่เขาพยายามสื่อนั้นจะชัดเจน แต่เรื่องราวนั้นกลับไม่มีเหตุผลเพราะมนุษย์นั้นไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างนั้น สุดท้ายแล้วชาวลุ่มเขาก็จะรู้อยู่ดีว่าสมบัตินั้นคืออะไรและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครต้องเสียชีวิต
ในทางเดียวกัน ผมเห็นการหักมุมในตอน “Hang the DJ” ตั้งแต่ร้อยกิโลเมตร จะมีใครบ้างที่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ถ้าดูแบบผิวเผิน The System นั้นเป็นลัทธิที่แปลกและมีกฏที่ไร้สาระ คุณจะยอมอยู่กับใครสักคนที่คุณเกลียด และเขาก็เกลียดคุณเช่นกัน เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มงั้นหรือ แม้ว่าจะมีการยืนยันว่าคู่คนนั้นมีโอกาสที่จะเหมาะกับคุณถึง “99.8%” ในอนาคตก็ตาม
ผมเจอปัญหาเดียวกันกับ “Nosedive” — ทำไมคุณถึงจะยอมรับระบบที่แย่ๆแบบนั้นหรือ แต่อย่างน้อยมันก็ยังพอมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ใน Hang the DJ นี่ไม่มีเลย การ”หักมุม”นั้นเป็นอย่างเดียวที่ค่อนข้างมีเหตุผล แต่ผมคาดว่าจะได้เห็นการหักมุมแบบต่อยหน้าหงายและโชว์ให้เห็นว่าทุกอย่างที่คุณเข้าใจนั้นผิดหมด แต่ไม่ใช่เลย
มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครสักคนที่จำเป็นต้องเขียนตอนนี้ให้เสร็จๆ ดิสโทเปีย – เช็ค เทคโนโลยีครอบงำทุกสิ่ง — เช็ค ให้ความรู้สึกเหมือนมีเงื่อนงำ — เช็ค และอย่างเดียวที่ดูใหม่ในตอนนี้ก็คือตอนจบที่แปลกๆไม่เข้าร่องเข้ารอย ถือว่าแปลกมากที่ผมรู้สึกว่ามันหลุดจากความคาดหวังขนาดนี้ คงจะอยู่ใกล้ๆกับ “The Waldo Moment” เลยทีเดียว
ข้อเท็จจริงสนุกๆ : Amy เป็นไบ และคู่ของเธอคนหนึ่งใน “The System” เป็นผู้หญิง
5. USS Callister
ต้องขอบคุณ Infinity Software ระบบเกม MMORPG ที่มีความสมจริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้คุณสามารถสวมบทบาทเป็นตัวละครในรายการทีวีโปรดของคุณได้ (แต่ก็มาพร้อมกับข้อเสียเช่นกัน)
Daniel: เกมอย่าง The Sims นั้นอณุญาตให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งโลกของพวกเขาได้ตามที่ต้องการ แต่ลองจินตนาการว่าคุณทำแบบนั้นกับคนจริงๆ คนที่มีความทรงจำ และคนที่เกลียดการเป็นส่วนหนึ่งในวีดีโอเกมส์ของคุณ มันฟังดูสยองไม่น้อยเลยนะ — เรามีความสุขกับการได้เป็นเหมือนพระเจ้าในโลกจำลองเหล่านี้ แต่ Old Testament God นั้นค่อนข้างจะเจ้าพยาบาทไม่น้อย (ถึงขั้นว่าผู้ติดตามของเขานั้นทั้งเกลียดและกลัวเขาในทีเดียว)
ตอนนี้มีความน่ากลัวและมีความสนุกด้วยนัยยะความรุนแรงในเนื้อเรื่องกับนักแสดงทั้งหมดที่บริหารความไซไฟและความสยองขวัญภายใต้รอยยิ้มฝืนๆของพวกเขาได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นเทคโนโลยี DNA ใหม่ๆในตอนนี้
Matt: ถือเป็นการเริ่มต้นซีซั่นได้เป็นอย่างดีและการใช้ภาพยนตร์ Star Trek: The Original Series ในการเริ่มตอนนั้นก็เพอร์เฟ็กท์เช่นกัน การออกแบบโดยรวมนั้นก็ยอดเยี่ยมทีเดียว พวกเขารวมความยิ่งใหญ่ของจักรวาล Star Trek กับงบประมาณอันจำกัดของ Star Trek และถ้าพูดกันตามตรงแล้ว Infinity ดูเป็นอะไรที่น่าสนุกและผมว่าน่าเล่นทีเดียว
นอกจากนั้นยังมีความแตกต่างของ Robert Daly ในตอนที่อยู่ในเกมและนอกเกม อย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากคือความโมโหของเนิร์ดที่ Daly นั้นแสดงออก ในชีวิตจริงนั้นเขาอาจจะใช้ชีวิตอยู่บน r/incels และบ่นถึงหัวหน้าของเขาที่ขัดใจเขาอยู่เสมอ
และอีกอย่างที่ผมต้องชมเลยก็คือตอนเครดิตของเรื่อง Sartre นั้นพูดถูกจริงๆ “นรกคือคนรอบๆตัวเรา” และ Sartre ไม่เคยต้องเจอปัญหากับผู้เล่นออนไลน์กับการแชทด้วยเสียงเลย
ข้อเท็จจริงสนุกๆ: Michaela Coel (นักแสดงหญิงและผู้เขียนซีรีย์ Chewing Gum) มีบทบาทในตอนนี้มาก นอกจากนั้นเธอยังปรากฏตัวในตอน “Nosedive” ในซีซั่น 3 อีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง | เตรียมตัวให้พร้อมกับ ‘Black Mirror’ ซีซั่น 4 และการจัดลำดับให้คะแนนของเรา
4. Black Museum
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปยังร้านข้างทางเพื่อฟังเรื่องสยองขวัญ 3 เรื่อง
Daniel: คำว่า Black ใน “Black Museum” นั้นสะท้อนถึงความมืดในการแสดงต่างๆในพิพิธพันธ์และเรื่องราวในตอนที่เกี่ยวกับเชื้อชาติและความไม่ถูกต้อง จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ แต่ละตอนของ Black Mirror มักจะมีนักแสดงนำผิวขาวเป็นหลักและไม่กี่คนเท่านั้นที่จะพูดถึงความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นและเชื้อชาติในจักรวาลของเทคโนโลยีนี้
“Black Museum” มีการพูดถึงเรื่องเล่า 3 เรื่องเกี่ยวกับการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ความต้องการของมนุษย์ เรื่องราวที่น่ากลัวและทำให้เราสะเทือนใจมากที่สุดคือเรื่องที่ผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจะถูกประหารชีวิตได้ทำการตกลงบางอย่างโดยแลกกับการดูแลครอบครัวของเขาหลังจากการประหารชีวิต ข้อตกลงนั้นทำให้เรานึกถึงปัญหาหลายๆอย่างในโลกที่เกี่ยวกับการใช้นักโทษและคนผิวสีในนามของความยุติธรรม การศึกษา และความบันเทิง หลังจากที่คุณได้ชมตอนนี้แล้วคุณจะคิดเรื่องนี้ไปอีกนานทีเดียว
Douglas Hodge รับบทแสดงเป็น Rolo Haynes เจ้าของพิพิธพันธ์สยองขวัญได้เป็นอย่างดี และสองในสามเรื่องที่เขาเล่านั้นจะทำให้คุณขนลุก — ผมถึงกับต้องมองหนีจากทีวีในบางฉากทีเดียว ถือว่าทำให้ Black Mirror น่าสนใจขึ้นไม่น้อย
Matt: “Black Museum” นั้นเป็นตอนหนึ่งที่แปลกๆและมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ แต่กลับทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร การย้อนความไปถึงตอนก่อนๆทำให้รู้สึกเหมือนพวกเขาพยายามสื่ออะไรบางอย่าง ถึงแม้ว่ามันจะชัดเจนว่าทุกตอนของ Black Mirror นั้นจะเกิดขึ้นในจักรวาลเดียวกัน — และ Brooker ก็ได้พูดไว้อย่างชัดเจน— การเชื่อมโยงเรื่องราวในอดีตให้ความรู้ถึงเหมือนการแกว่งเท้าหาเสี้ยนและทำให้แต่ละตอนเสียคุณค่าลงไป การเปิดเผยชื่อรีสอร์ทใน “San Junipero” ว่ามาจากโรงพยาบาล Saint Juniper ฟังดูราคาถูกยังไงไม่รู้ และผมก็ยังไม่เข้าใจไทม์ไลน์ของเนื้อเรื่องจากรายละเอียดต่างๆ — ผมชอบนะที่ Black Mirror นั้นเป็นเรื่องในจักรวาลเดียว แต่ว่าเวลาที่เกิดขึ้นนั้นยังชวนให้เราตัดสินใจไม่ถูก “San Junipero” นั้นให้ความรู้สึกเหมือนว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่กลับไม่ใช่เลย!
ถ้าพูดถึงตอนนี้แล้วถือว่านี่คือสไตล์ที่ใกล้กับตอน Tales From the Crypt ที่สุดแล้ว เรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายใน 3 เรื่องเล่าให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการเข้ารหัสอะไรบางอย่างไว้และมีแค่ตอนที่ 2 ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็น Black Mirror อย่างแท้จริง แต่ยังไงก็ถือว่ามีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่ากับตอนอื่น แต่เป็นตอนที่มีศักยภาพที่จะเป็นได้มากกว่านี้
ผมเห็นด้วยที่คุณพูดถึงการแสดงของ Douglas Hodge แม้ว่าผมจะไม่มั่นใจว่า Black Mirror จะใช้นักแสดงงานแห่ในการเล่าเรื่องหรือยังไง แต่ถือว่าเขานั้นเป็นนักแสดงงานแห่ที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่น้อย
ข้อเท็จจริงสนุกๆ: ในพิพิธพันธ์ยังมีชุดของ Yorkie และ Kelly คู่รักเพศเดียวกันจากตอน “San Junipero” ในซีซั่น 3 ที่เราโปรดปราน และ Douglas Hodge ที่รับบทเป็น Rolo นั้นเคยกำกับการแสดงเวทีสุดเกย์ชื่อ Torch Song Trilogy
บทความที่เกี่ยวข้อง | ความสัมพันธ์ของเลสเบี้ยนที่ซ่อนอยู่ใน ‘Black Mirror’ ซีซั่นที่ 3
3. Metalhead
ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการของบางอย่างจากโกดังสินค้าหลังจากเกิดภัยพิบัติ แต่คลังดังกล่าวได้รับการปกป้องโดย”สุนัข”แบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน
Matt: ตอนนี้เป็นตอนหนึ่งของ Black Mirror ที่สั้นที่สุดและลุ้นที่สุด ฉากเริ่มต้นขาว-ดำถือว่าทำได้หวือหวามาก แต่ทำให้ดูยากในบางครั้ง แต่เพื่อลดความรุนแรงในตอนนี้แล้วก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ และในตอนนี้เป็นเหมือนการมาราธอนของ Maxine Peake ที่แทบจะเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวตลอดทั้งตอน
ตอนนี้เป็นตอนหนึ่งที่แสดงการต่อต้านทุนนิยมของ Black Mirror เหมือนหลายๆตอน ใจความหลักของตอนนี้คือการแสดงถึงความแย่ในการฆ่าเพื่อทรัพย์สิน (ไม่ใช่แค่การฆ่าเท่านั้นแต่ยังเป็นการไล่ล่าทุกคนที่พยายามขโมย) และด้วยเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากหายนะบางอย่างก็เหมือนเป็นการพูดถึงเรื่องสั้นของ Ray Bradbury ชื่อ “There Will Be Soft Rains.”
ตอนจบของตอนนี้ดูจะตรงไปตรงมาไปเล็กน้อย แต่ด้วยความตื่นเต้นและความแน่นของเนื้อเรื่องแล้วผมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมกันได้
Daniel: ผมชอบตอนนี้มากกว่าที่คิดไว้ มันเป็นการแสดงออกถึงความพยายามในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในเรื่อง Black Mirror ไม่ใช่แค่เพียงโซเชียลมีเดีย และมันยังเป็นความน่ากลัวเมื่อนึกถึงสุนัขหุ่นยนต์ในสไตล์ Boston Dynamics ที่จะสังหารทุกคนเพื่อ”ความปลอดภัย” (อย่างไม่ต้องสงสัย)
ตอนนี้ยังทำให้ผมนึกถึงนิยายสุนัขของ Stephen King ชื่อ Cujo ทำให้ได้คะแนนจากผมไปอีกหนึ่งคะแนน และแม้ว่าตัวละครหลักในตอนนี้จะอึดและฉลาดสุดๆ ผมกลับรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เกือบตลอดเวลา ผมจะคิดว่า “มันคงเป็นไปได้แค่หมาจะฆ่าเธอหรือไม่เท่านั้น ถ้ามันฆ่าเธอได้ ตอนนี้ก็ต้องจบ ฉะนั้นเนื้อเรื่องก็คงจะเป็นการพยายามอยู่รอดของเธอและตอนจบเท่านั้น” ซึ่งเป็นความคิดที่น่าเบื่อเมื่อคุณชม Black Mirror โดยเฉพาะเมื่อตอนจบไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
ข้อเท็จจริงสนุกๆ: ตอนจบของตอนได้มีการอ้างถึง “White Bear” หรืออีกตอนหนึ่งของ Black Mirror ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกไล่ล่าเช่นเดียวกัน
2. Crocodile
Mia นั้นเป็นสถาปนิกที่มีความลับ แต่เมื่อเธอได้เห็นอุบัติเหตุทางการจราจร เรื่องทั้งหมดก็ถูกเปิดเผย
Daniel: “Crocodile” นั้นเป็นหนึ่งตอนที่เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างช้าๆแม้ว่าการฆาตกรรมจะเกิดขึ้นตั้งแต่สองนาทีแรกของตอนก็ตาม และด้วยฉากที่เป็นน้ำแข็งทำให้ตอนนี้เป็นตอนที่มีความสวยงามที่สุดตอนหนึ่งในซีรีย์ นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดความทรงจำออกมาได้อย่างช่ำชองอีกด้วย เช่นการที่ความทรงจำเหล่านั้นสามารถกักขังเราไว้ได้เหมือนในคุกน้ำแข็ง และผมยังพบว่าตัวเองนั้นค่อนข้างจะเอาใจช่วยฝ่ายร้ายอยู่นิดๆ ซึ่งถือว่าเป็นความสนุกของซีรีย์เรื่องนี้
Matt: ตื่นเต้นสุดๆไปเลย ผมชอบทุกตอนของ Black Mirror ที่ทำให้รู้สึกเหมือนมันอยู่ไม่ไกลในอนาคต (แต่ผมก็ชอบ “Shut Up and Dance” ที่ได้รับความเห็นทั้งชอบและไม่ชอบจากแฟนๆ)
ความรุนแรงถือเป็นส่วนสำคัญในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อนำมารวมกับตัวละครที่เราหลงไหล แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่กันคนละขั้ว — และฝ่ายหนึ่งก็เป็นฝ่ายผิด 100% คุณจะรู้สึกเห็นใจทั้งสองฝ่าย Daniel พูดถูกที่ว่าคุณจะเข้าข้างฝ่ายที่ผิด ถ้าหากว่าจะมีข้อเสียสักอย่างในตอนนี้ก็คือตอนจบที่ค่อนข้างจะแปลกๆไปเล็กน้อย แต่ผมยอมรับในการใช้สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องให้มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างความสงสัยในตอนนี้ แม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลนัก (ผมมองเห็นการหักมุมแบบเดียวกันที่อาจจะถูกนำมาเล่าอย่างแตกต่างใน A Touch of Cloth) และมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนขยายเทคโนโลยีที่เป็นธรรมชาติ
ข้อเท็จจริงสนุกๆ: ในตอนนี้ยังมีตัวละครที่เป็นเกย์ให้คุณได้เห็น ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหมอฟันถ้ำมองและมีการพาดพิงถึงกรรมการรายการโชว์กับโสเภณีชายคนหนึ่งอีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง | 5 ซีรีย์ของ Charlie Brooker ที่เราสามารถนั่งดูกันยาวๆระหว่างรอ ‘Black Mirror’ ซีซั่นใหม่
1. Arkangel
คุณแม่ที่พยายามเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียวและความช่วยเหลือจากการปลูกฝังในสมอง
Daniel: Arkangel เป็นการเล่นกับการเลี้ยงดูลูกแบบใกล้ชิดเกินไป ยาในการควบคุมอารมณ์และพื้นที่ปลอดภัย และในขณะเดียวกันก็นำเสนอผลเสียของการปกป้องลูกจนเกินไป แม้กระทั่งจากอะไรเล็กๆน้อยๆ (และผลเสียในระยะยาวที่เกิดจากการดูแลแบบดังกล่าว) ถือเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะได้ชม Black Mirror ในการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆตามเวลา (แต่ตัวละครยังยึดติดกับยาล้าหลังอย่างโคเคน) นอกจากนั้นยังมีธีมแนว”ลูกหาย”ที่สะท้อนให้เห็นอยู่ตลอดทั้งตอน — แต่จริงๆแล้วเป็นแม่หรือลูกกันแน่ที่หลงทาง
Matt: ผมชอบตอนนี้มากจริงๆ การกำกับของ Jodie Foster นั้นยอดเยี่ยม และผมรู้สึกว่าความคิดของตัวละครนั้นดูเป็นจริง ผมชอบที่มันเป็นการวิจารณ์การดูแลลูกให้ปราศจากเรื่องร้ายๆและภัยต่างๆ — คำวิจารณ์ที่ผมเห็นด้วย — การกระทำต่างๆของ Marie นั้นมีเหตุผล และมันยากมากที่จะเห็นข้อบกพร่องในทางเลือกของเธอ (ก็เกือบทั้งหมด) ปัญหาอย่างหนึ่งที่มีคือ Marie นั้นมีข้อมูลมากเกินไป ความต้องการที่จะปกป้องลูกของเธอนั้นเป็นเรื่องดี แต่มันเป็นการใช่เครื่องมือที่มากเกินไปที่เธอไม่ควรจะใช้ ทำให้เธอต้องจมลง แต่มันก็ไม่ใช่อุบัติเหตุ เพราะเธอรู้ว่า Arkangel นั้นไม่ปลอดภัยอย่างมาก
คุณอาจจะตัดสินว่ามันเป็นเหมือนการเปรียบเทียบกับสวนอีเดนและผลไม้แห่งความรู้ แต่มันใช้ได้ผล ไม่เหมือนกับในตอน “Hang the DJ” แต่ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ในเนื้อเรื่องของพระคัมภีร์ ความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ ผมคิดว่าผมรู้จักใครที่จะไม่กินผลไม้นั่น หรืออย่างน้อยก็มีความรู้สึกอยากลอง โดยเฉพาะเมื่อเราทุกคนต่างบอกตัวเองว่า”ไม่หรอกมั๊ง ผมว่าผมจัดการมันได้แหละ” ผมรู้ว่าผมจะลอง
ผมค่อนข้างจะเข้าใจว่าจะมีคนที่คิดว่าเทคโนโลยีตัวกรองนั้นถูกสร้างมาจากเทคโนโลยีใน “White Christmas” แต่ทั้งสองเทคโนโลยีนั้นถูกใช้อย่างแตกต่างกันมาก อย่างการใช้กับเนื้อหามากกว่ากับมนุษย์ และ “Arkangel” ก็ไม่ได้ใช้งานได้ดีขนาดนั้นอีกด้วย และยังให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเพิ่มเติมในเทคโนโลยี Black Mirror ที่มีอยู่แล้วมากกว่าเป็นการถอยหลัง
Fun fact: เลสเบี้ยนมากความสามารถ Jodie Foster เป็นผู้กำกับตอนนี้ ยอดไปเลย
ความประทับใจโดยรวมของ Black Mirror ซีซั่น 4
Matt: โดยรวมแล้ว Black Mirror ซีซั่น 4 จัดได้ว่าเป็นซีซั่นที่หนักพอสมควร อย่างไรก็ตาม หลายๆตอนก็มีการจบแบบ”แฮปปี้เอนดิ้ง” — หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่การจบแบบพังไม่เหลือชิ้นดีแบบที่ Black Mirror ทำเป็นปกติ ผมค่อนข้างจะคิดถึงความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แม้ว่า “San Junipero” เป็นตอนโปรดของผม และสาเหตุหนึ่งที่ผมชอบตอนนี้มากก็เพราะจุดจบที่ดูเหมือนจะแฮปปี้ที่สุดก็คือการหักมุมตามสไตล์ Black Mirror ผมกังวลว่าความสำเร็จของตอนนี้จะทำให้ Charlie Brooker คิดว่าเขาควรจะเขยิบออกมาจากตอนจบที่ร้ายๆ ซึ่งสำหรับผมแล้วมันคือเรื่องโปรดสำหรับผมใน Black Mirror
โดยรวมแล้ว ซีซั่น 4 ก็เป็นซีซั่นที่อ่อนที่สุดใน Black Mirror แต่เมื่อนึกถึงความสำเร็จของซีซั่นก่อนหน้าก็ถือว่าซีซั่นนี้ประสบความสำเร็จ ส่วนที่แย่ของ Black Mirror ยังดีกว่าส่วนที่ดีของเรื่องอื่นๆหลายๆเรื่องด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อย ขอเอาความโชคร้ายเพิ่มอีกหน่อยแล้วกันสำหรับผม
Daniel: ผมชอบซีซั่น 4 มากกว่าซีซั่น 2 มาก และมีข่าวลือว่าพวกเขาได้ทำการถ่ายทำอีก 6 ตอนของซีซั่น 5 เรียบร้อยแล้ว ซีรีย์นี้ถือว่าทำได้ตามความคาดหวังเทียบเท่ากับ Twilight Zone และในหลายๆตอนของซีซั่นนี้ให้ความรู้สึกเหมือนภาพยนตร์ดีๆเลยทีเดียว — มีการถ่ายฉากที่สวยงามและมีการตัดต่อที่ดี ขนาดที่ว่าในหลายๆตอนที่ไม่ได้ดีที่สุดยังออกมาน่าประทับใจ
ในซีซั่นก่อนหน้า Black Mirror นั้นมีการโฟกัสไปที่เทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย แต่ในตอน “Men Against Fire” และในซีซั่น 4 ตอน “Metalhead” และ “Crocodile” นั้นเริ่มแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำเทคโนโลยีอื่นๆที่ลดความเป็นมนุษย์มาใช้ ซึ่งทำให้เราหวังได้ว่าน่าจะมีอีกหลายซีซั่นให้เราได้ชมกัน ผมยังขอปรบมือให้กับซีรีย์นี้ในการพูดถึงเรื่องทางการเมืองอีกด้วย “The Waldo Moment” จากซีซั่นที่ 2 นั้นมีการทำนายถึงการมีอำนาจของ Donald Trump ในแบบที่ดูไม่ได้จริงจังนัก แต่ตอน “Black Museum” ก็ทำให้เห็นว่า Black Mirror พร้อมที่จะฝังเขี้ยวลงไปในประเด็นต่างๆอย่างชัดเจน